จากซีรีย์วัยรุ่นยอดนิยม Hormones Final Season EP.10 ตอนของ พละ ฮอร์โมน
ชาวเน็ตแห่ชื่นชมเป็นอย่างมากที่นำเสนอเรื่องราวของผู้ติดเชื้อ HIV และทำออกมาในด้านบวก ซึ่งข้อมูลทั้งหมดสรุปได้ดังนี้
HIV และ เอดส์ นั้น เป็นเรื่องที่ควรรู้อย่างยิ่ง และที่ผ่านมา ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดจำนวนมาก จึงขอหยิบยกมาอธิบายง่ายๆ ว่า HIV และ เอดส์ ไม่เหมือนกัน!
(ขีดเส้นใต้สองเส้นหนาๆ) กล่าวคือ เชื้อ Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV พบในเลือดและสารคัดหลั่งหลายชนิดของร่างกาย
ได้แก่ น้ำอสุจิ เมือกในช่องคลอดสตรี น้ำนม และอาจพบได้ในปริมาณน้อยๆ ในน้ำตาและปัสสาวะ เมื่อพิจารณาจาก แหล่งเชื้อแล้วจะพบว่า
เชื้อไวรัสเอชไอวีติดต่อได้ หลายวิธี ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ (ทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันและกับเพศตรงข้าม),
การรับเลือดและองค์ประกอบของเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะรวมทั้งไขกระดูกและน้ำอสุจิที่ใช้ผสมเทียมซึ่งมีเชื้อ
(แต่ในปัจจุบันปัญหานี้ได้ลดลงไปจนเกือบหมด เนื่องจากมีการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีในผู้บริจาคเหล่านี้),
การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาเสพติดร่วมกันและของมีคมที่สัมผัสเลือด, จากมารดาสู่ทารก ซึ่งทารกมีโอกาสรับเชื้อได้หลายระยะ ได้แก่
เชื้อไวรัสแพร่มาตามเลือดสายสะดือสู่ทารกในครรภ์ ติดเชื้อขณะคลอด จากเลือดและเมือกในช่องคลอด ติดเชื้อในระยะเลี้ยงดู
โดยได้รับเชื้อจากน้ำนม (จะเห็นได้ว่าวิธีการติดต่อเหล่านี้เหมือนกับไวรัสตับอักเสบบีทุกประการ
ดังนั้นถ้าไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ก็จะไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ด้วย)
การทำงานของ HIV นั้นจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้อีก
โรคต่างๆ (หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า โรคฉวยโอกาส) จึงเข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา ฯลฯ และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
แต่ในส่วนนี้ ปัจจุบันนวัตกรรมทางการแพทย์ ได้คิดค้นยาต้านไวรัสซึ่งหากกินอย่างสม่ำเสมอตรงเวลา พร้อมกับใช้ชีวิตอย่างมีวินัย ไม่สัมผัสสัตว์ ไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
ติดเชื้อ ที่ชุมนุมชน พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ รักษาสุขภาพให้อยู่ในระดับที่แข็งแรงเป็นปกติ ผู้ติดเชื้อ HIV ก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป ซึ่งหากเว้นจากการสัมผัสเลือด
สารคัดหลั่ง ของเหลวจากร่างกายของผู้ติดเชื้อแล้ว สามารถจะพูดได้ว่า ผู้ติดเชื้อเองนั่นแหละ ที่ต้องระมัดระวังมากกว่าคนปกติ เพราะร่างกายของเขาอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันถูกทำลาย
ไม่สามารถอยู่ในสภาวะปกติได้ในกรณีที่ร่างกายอ่อนแออย่างคนปกติด้วยซ้ำ ดังนั้น เข้าใจตรงกันนะ! ท่านทั้งหลายสามารถใช้ชีวิตอยู่กับผู้ติดเชื้อได้อย่างปกติที่สุด และควรอย่างยิ่ง
ที่จะทลายกำแพงแห่งอคติต่อผู้ติดเชื้อเหล่านี้
ในขณะที่ เอดส์ (AIDS - Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือ เสต็ปถัดมาของ ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ HIV ที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส หรือดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ
จนทำให้โรคได้ลุกลามจนภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อติดเชื้อเอดส์แล้ว จะแบ่งช่วงอาการ เป็น 3 ช่วงดังนี้ คือ
1.ระยะไม่ปรากฎอาการ (Asymptomatic stage) ผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ออกมา จึงดูเหมือนคนมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนคนปกติ แต่อาจจะเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ จากระยะแรกเข้าสู่ระยะต่อไปโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 7-8 ปี แต่บางคนอาจไม่มีอาการนานถึง 10 ปี จึงทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อต่อไปให้กับบุคคลอื่นได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ
2.ระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (Aids Related Complex หรือ ARC) หรือระยะเริ่มปรากฎอาการ (Symptomatic HIV Infection) ในระยะนี้จะตรวจพบผลเลือดบวก และมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นในเห็น เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่งติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน, มีเชื้อราในปากบริเวณกระพุ้งแก้ม และเพดานปาก, เป็นงูสวัด หรือแผลเริมชนิดลุกลาม และมีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น มีไข้ ท้องเสีย ผิวหนังอักเสบ น้ำหนักลด เป็นต้น ระยะนี้อาจเป็นอยู่นานเป็นปีก่อนจะกลายเป็นเอดส์ระยะเต็มขึ้นต่อไป
3.ระยะเอดส์เต็มขั้น (Full Blown AIDS) หรือ ระยะ โรคเอดส์ ในระยะนี้ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกทำลายลงไปมาก ทำให้เป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย หรือที่เรียกว่า "โรคติดเชื้อฉวยโอกาส" ซึ่งมีหลายชนิด แล้วแต่ว่าจะติดเชื้อชนิดใด และเกิดที่ส่วนใดของร่างกาย หากเป็นวัณโรคที่ปอด จะมีอาการไข้เรื้อรัง ไอเป็นเลือด ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อ Cryptococcus จะมีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้อาเจียน หากเป็นโรคเอดส์ของระบบประสาทก็จะมีอาการความจำเสื่อม ซึมเศร้า แขนขาอ่อนแรงเป็นต้น ส่วนใหญ่เมื่อผู้เป็นเอดส์เข้าสู่ระยะสุดท้ายนี้แล้วโดยทั่วไปจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1-2 ปี
รู้อย่างนี้แล้ว จะได้ลบความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับเชื้อ HIV กันนะจ๊ะ
ขอบคุณที่มาจาก: news.truelife.com